Judas and the Black Messiah (US,2021)
“คุณสามารถฆ่า นักปฏิวัติได้
แต่คุณไม่สามารถฆ่า การปฏิวัติได้”
โอย หนังทรงพลังเรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องอันแสนเจ็บปวดแต่สวยงาม ด้วยวิธีการซึ่งฉลาดมากๆๆ เรื่องราวของคนทรยศหักหลังพี่น้องร่วมอุดมการณ์ ที่เปรียบดั่งอุปมาเรื่องราวของ ยูดาสกับพระเยซู
กาลครั้งหนึ่งมีบุตรของพระเจ้าได้กำเนิดบนโลกใบนี้ เขาเติบโตขึ้นมาในท่ามกลางประเทศซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมันอันยิ่งใหญ่ เขาเห็นความทุกข์ยากของผู้คนในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิด เมื่อถึงอายุ 30 เขาเริ่มพูดถึงความรัก ความหวัง และอิสระภาพของชีวิต
ผู้มีอำนาจปกครองในเวลานั้นเกลียดและกลัวเขามาก ชายหนุ่มธรรมดาผู้ไม่มีอาวุธใดเลย แต่กลับมีผู้คนจำนวนมากรอฟังถ้อยคำของเขาและใช้ชีวิตใหม่อย่างมีความหวัง ผู้ปกครองเกลียดสิ่งนี้ จนในที่สุดก็วางแผนเพื่อที่จะฆ่าบุตรของพระเจ้าผู้นี้ โดยไปซื้อตัวหนึ่งในเพื่อนรักที่สุดของเขาให้หักหลังเพื่อน สุดท้ายบุตรของพระเจ้าก็ถูกทรมานและถูกฆ่าตายบนไม้กางเขน วันหนึ่งเพื่อนผู้ทรยศก็ทนความรู้สึกผิดไม่ไหวจนฆ่าตัวเองตายในที่สุด
นี่ล่ะครับโครงเรื่องของหนังเรื่องนี้ ต่างกาละ ต่างเทศะ แต่ประเด็นเดียวกันเป๊ะ หนังเล่าเรื่องของยุคปลาย 60s ช่วงเวลาที่คนผิวดำถูกกดขี่ข่มเหงจากตำรวจและภาครัฐจนผู้คนทนไม่ไหว มีนักปฏิวัติชื่อดังของโลกเกิดและถูกฆ่ามากมายในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็น มาร์ติน ลูเธอร์ คิง, มัลคอล์ม เอ็กซ์ และหนังเรื่องนี้ก็พูดถึงกลุ่มของมัลคอมล์มที่ชื่อว่า Black Panther
บิล เป็นโจรขโมยรถโดยการปลอมตัวเป็นตำรวจ FBI สุดท้ายโดนจับ แต่แทนที่จะโดนจับเข้าคุก เขากลับยอมต่อรองเป็นสายให้ตำรวจปะปนเข้าไปในกลุ่ม Black Panther ซึ่งในขณะนั้นมี เฟรด แฮมตัน เด็กหนุ่มอายุเพียง 20 เป็นหัวหน้า เรื่องราวที่เหลือก็ไม่ต่างอะไรกับอุปมาเรื่องราวของพระเยซูเลยนั่นแหละครับ
“มีคนถามผมว่าไม่กลัวตายเหรออายุยังน้อยอยู่เลย
ผมตอบว่าการอยู่แบบนี้มันไม่ใช่ชีวิต ผมไม่ต่างกับคนที่ตายแล้ว”
ทีมงานของหนังเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นคนผิวดำ พวกเขากลั่น Spirit ของ Black History การต่อสู้อันยาวนาน นานมากๆๆๆ ของบรรพบุรุษลงมาไว้ที่นี่ ใครก็รู้ว่าประวัติของคนผิวดำจากทาสกว่าจะมาถึง Black Live Matter นี่มันหนักหนาขนาดไหน แต่ข้างในนั้นสิ่งที่ผมเห็น มันยังมีความหวัง ความรัก ความงดงามของการเป็นมนุษย์ การต่อสู้เพื่อคนรุ่นหน้าและ Free Spirit รวมอยู่ในั้นด้วย
“ในบางครั้ง เมื่อบ้านไฟไหม้
เจ้าของบ้านนอนหลับอยู่
มีคนวิ่งเข้ามาตะโกนว่า ‘ไฟไหม้ๆ’
แทนที่เจ้าของบ้านจะรู้สึกขอบคุณเขา
กลับพลั้งไปกล่าวหาคนที่มาปลุกเขาว่า
เป็นคนจุดไฟ”
- มัลคอล์ม เอ็กซ์
โอย อยากเขียนเกี่ยวกับความรู้สึกที่ดูไว้หน่อย เชรี้ย มันเหมือนเมืองไทยตอนนี้เลยอ่ะ ประชาชนถูกกดขี่โดยตำรวจและรัฐบาล ข้าราชการชั้นสูงรุมกันรังแกประชาชนผู้ต้องกัดฟันสู้ชีวิตด้วยความยากลำบาก ในประวัติศาสตร์มีเรื่องเล่าแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา มนุษย์เราไม่ได้เรียนรู้อะไรกันบ้างเลยเหรอว่า เราไม่ควรฆ่ากันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหรือพวกพ้อง เราเป็นคนเหมือนๆ กัน เราต้องหยุดสงครามปีศาจนี้ได้แล้ว
“คุณสามารถฆ่านักปฏิวัติได้
แต่คุณไม่สามารถฆ่าอิสระภาพได้”
นึกถึงหลายคนที่ลุกขึ้นมาส่งเสียงให้รัฐบาลและสังคม แต่กลับถูกกล่าวหาอย่างผิดๆ ว่าเป็นคนทำให้สังคมแตกแยก คุณไม่รู้ตัวสักนิดกันเลยเหรอว่า บ้านกำลังไฟไหม้อ่ะ แทนที่จะลุกกันขึ้นมาช่วยดับไฟ แต่กลับโยนความผิดให้คนตะโกนอยู่ว่า เป็นคนเผาบ้านเผาเมือง
“คุณจับผู้คน เข้าคุกได้
แต่คุณจับอิสระภาพ เข้าคุกไม่ได้”
ดูหนังเรื่องนี้แล้วฮึกเหิมมากครับ หนึ่งมันเตือนให้ผมจำได้ว่าพระเยซูก็เป็นนักปฏิวัติคนหนึ่งเหมือนกัน และสองมันเตือนให้ผมทบทวนเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ของผมจริงๆ ผมเป็นใคร ผมเกิดมาเพื่อสิ่งใด บางทีความสุขสบายปลอมๆ ที่รัฐหลอกลวงไว้ ก็ทำให้บางทีผมลืมไปเหมือนกัน ว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณเสรี
“ฉันเชื่อว่า ฉันจะไม่ตายเพราะอุบัติเหตุ
ฉันเชื่อว่า ฉันจะไม่ได้ตายเพราะโรคหัวใจ
ฉันเชื่อว่า ฉันจะตายเพราะทำในสิ่งที่ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น
ฉันเชื่อว่า ฉันจะตายอย่างมีความสุขเพื่อประชาชน
ฉันจะตายเพื่อประชาชน
เพราะฉันมีชีวิตอยู่เพื่อประชาชน…”
เฟรด แฮมตัน — I Believe
และนี่คือหนังที่ตัวละครทุกคน ไม่ว่าฝั่งแสงสว่างหรือฝั่งความมืด ล้วนเคยมีชีวิต ตัวตนอยู่จริง แน่ล่ะการต่อสู้มันอาจจะลำบากแสนเข็ญ แต่เราก็ต้องเลือกยืนอยู่ในฝั่งที่ถูกต้องอยู่ดี จงเลือกฝั่งอย่างฉลาด เพราะนั่นคือการเลือกที่จะมีชีวิต