Tolkien (UK,2019)

Joe Readery
2 min readApr 3, 2022

--

Don’t underestimate the power of words

อย่าประเมินพลังของถ้อยคำต่ำเกินไป

คิดวนเวียนอยู่แต่อย่างนี้ตอนดูหนัง OMG นี่มันหนังสำหรับเราวันนี้เลยนี่หว่า ตลอดทั้งวันหลังดู The Lord of the Rings จบทั้ง 3 ภาคซึ่งใช้เวลาไป 10 ชั่วโมง ในหัวก็คิดตลอดว่า โทลคีน นี่แม่งเป็นคนไงวะ ถึงได้เขียนอะไรแบบนี้ได้

สารภาพเลยว่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจ โทลคีน คนแต่งสักเท่าไหร่ เพราะมันสนใจแต่ โฟรโด แกนดาฟ เอลฟ์ มากกว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คิดแต่ว่า Hobbit’s Story นี่มันสนุกนะ แต่ยังไม่ได้ฝังใจมากเท่ากับดูรอบนี้

มันเริ่มมาจากหนังสือชื่อ Walking with Frodo ที่บังเอิญเจอใน Amazon พูดถึงการเดินทางของโฟรโด และช่วงนี้เราก็กำลังหมกมุ่นอยู่กับ Hero’s Journey ก็เลยหยิบ LOTR ทั้งหมดมาดูอีกรอบ โอ้โห เห็นอะไรขึ้นเยอะเลย

เห็นอะไรเดี๋ยวไว้เล่า แต่ตอนนี้อยากพูดถึงหนัง Tolkien ที่เล่าชีวิตของเขาก่อนอ่ะ เออ โทลคีนเป็นคนหลงใหลถ้อยคำและภาษามาก ถึงมากที่สุด โดยเฉพาะภาษาโบราณ แล้วหนังแม่งธีมเป๊ะฉิบหาย คือมันพูดว่า ในทุกๆ ถ้อยคำ มีเรื่องราวมากมาย และความหมายของชีวิตอยู่ อย่าไปดูถูกคำหนึ่งคำเชียว กว่าจะมาเป็นคำนี้ มันสะสม แปลงกาย ปรับตัว เปลี่ยนร่างจนกว่าจะมาเป็นคำนี้คำเดียว ซึ่งมันมีเรื่องเล่าที่มาที่ไปอยู่ในนั้นเสมอ

ภาษาแต่ละภาษาของคน ลองคิดดีๆ นะ มันหยิบยืมคำจากภาษาอื่นกันไปมา จริงๆ มันเกี่ยวกันทั้งนั้น จนกว่าจะมาเป็นคำเช่นคำว่า ต้นไม้ เนี่ย มันมีเรื่องราวของมัน ทีนี้ พอกลับมาดูเรื่อง LOTR ก็จะเข้าใจเลยว่า ทำไมในเรื่องมันถึงมีภาษาเอลฟ์ มีเมืองหรือดินแดนที่ชื่อเก๋ๆ มีเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์ ได้มาอยู่ร่วมกัน

ภาษาที่เราใช้อยู่ทุกวันเนี่ย มันเจ๋งมากนะ มันมีเรื่องเล่า และเรื่องเล่านั่นแหละคือเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์เราทั้งในแง่ปัจเจกชน หรือในแง่หมู่รวม ยังสามารถรอดพันอันตรายมาจนถึงทุกวันนี้ เห็นประจำที่ชีวิตตัวเองนี่รอดตายเพราะหนังหรือหนังสือบางเรื่องเสมอ เอาจริงไม่ใช่แค่ LOTR ที่ครบครัน ทุกๆ เรื่องเล่าที่ดีมันต้องมีการเดินทาง การผจญอันตราย เมจิค ความมหัศจรรย์ และความรัก ขอบวกความกล้าหาญอีกอย่าง ความหวังกับความฝันด้วย 55

และแน่นอนว่า หนังเรื่อง Tolkien นี่อ่ะ ทำให้เราเข้าใจมากๆๆๆๆ เลยว่า ทำไม มันต้องเป็น The Fellowship of the Rings ด้วย มิตรภาพ เพื่อนรักที่ต้องต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายกัน มันมีที่มาที่ไปยังไง

The future belongs to those

who believe in the beauty of their dreams.

อนาคตเป็นของผู้ที่เชื่อ

ในความงดงามของความฝันของเขา

สิ่งที่ชอบที่สุดอีกอย่างของหนัง Tolkien คือ เราแทบจะเห็นหนังสือ หรือการเขียนอยู่ในทุกฉากของหนังเลย บางครั้งเป็นห้องสมุดเริ่ดๆ บางครั้งเป็นร้านน้ำชา หรือคาเฟ่ของคนยุค 10s หรือตัวโทลคีนก็เองจะถือหนังสือหนึ่งเล่มอยู่ในมือเสมอ สำหรับคนที่ตกหลุมรักหนังสือแบบเรามันแบบโอ้โห นั่นๆๆๆ นั่นมันฉันเลย และดูหนังแล้วทำให้อยากอ่านหนังสืออีกมากมหาศาล มันยังมีมังกร พ่อมด และความรักอีกตั้งเท่าไหร่ที่รอให้เราเปิดไปโลกของพวกเขา นี่แบบไม่อยากนอนเลย อยากอ่านๆๆๆๆๆ หนังทำให้เราบ้าคลั่งหนังสือได้แบบนี้ นี่ใจสั่นฮึกเหิมมาก

สารภาพบาปก่อนว่า ก่อนดูแอบคิดว่าหนังประวัติชีวิตนักเขียนนี่มันจะสนุกเหรอว้า ดูๆ ไปเหอะ เพราะกำลังเห่อ LOTR แต่ทีไหนได้หนังเรื่อง Tolkien นี่กลับมีทุกอย่างครบมากทั้ง ธีม พล็อต คาแรคเตอร์แน่นๆ และมังกร และความรัก มันครบอย่างที่เรื่องเล่าดีๆ ต้องมีหมด

และอย่างที่เราชอบพูดว่า เรื่องเล่าที่ดีคือเรื่องเล่าที่ต้อง move อะไรบางอย่างเสมอ Tolkien กำลัง move เรามากเหลือเกิน อยากรู้จักโทลคีนอีก อยากอ่าน LOTR และ Hobbit และอื่นๆ และตำนานโบราณอีกมากมาย ขอบคุณพระเจ้าสุดขีดสำหรับการได้ดูหนังเรื่องนี้นะครับ ใจกำลังจะระเบิดแล้ว

There is some good in this world,

and it is worth fighting for.

ยังมีสิ่งดีๆ อยู่ในโลกนี้

และมันคุ้มค่าที่เราจะสู้เพื่อมัน

ผมรู้แล้วว่าสิ่งดีๆ สำหรับผมมันคือเรื่องเล่าดีๆ และผมจะสู้เพื่อมันเช่นกันครับ

ป.ล. ชอบ Mood Board ของโทลคีน, ร้านน้ำชา Tea Club Barrovian, และห้องสมุดมหาวิทยาลัย Oxford มากถึงมากที่สุด

--

--

Joe Readery
Joe Readery

No responses yet