The Piano (New Zealand,1993)
เคยได้ยินเรื่องของผู้หญิงในยุควิคตอเรียนว่า บางทีเธอก็แกล้งเป็นใบ้ หรือไม่ยอมพูดอะไรเลยเป็นปีๆ เพราะว่าในยุคนั้นผู้หญิงไม่มีสิทธิมีเสียงในชีวิตทั้งนั้น ก็ถ้ามันไม่มีเสียงอะไรไปต่อรองกับใคร จะมีเสียงพูดจริงๆ เอาไว้ทำไม…ผมเองก็เคยคิดอยากหยุดพูดแบบนี้เหมือนกัน
The Piano เป็นเรื่องของเสียงที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ตรงๆ เสียงคือตัวแทนถ่ายทอดความคิด ความรู้สึกของเรามนุษย์ทุกคน มนุษย์จำเป็นต้องระบายความคิดความรู้สึกออกมานะ Free Speech คือเป็นธรรมชาติที่สุดของมนุษย์แล้ว แต่ถ้าสังคมไหนหรือ Location ที่เราอยู่ไม่อนุญาติให้เราพูดสิ่งที่เราคิด ไม่อนุญาติให้เราแสดงความรู้สึกจากในหัวใจ เราก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่มีชีวิต ก็เท่ากับตายไปแล้วนั่นแหละ เราถึงเหมือนอยู่ในประเทศที่แห้งแล้งเต็มไปด้วยซอมบี้อยู่นี่ไง
เอด้า ถูกส่งมาให้แต่งงานกับเจ้าของที่ชาวนิวซีแลนด์ที่เธอไม่รู้จัก เธอถูกส่งมาทางเรือพร้อมลูกสาวและเปียโนสุดที่รัก หนังไม่ได้บอกปีเป๊ะๆ แต่ดูจากการแต่งตัวมันน่าจะเป็นช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ยุคที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิอะไรในตัวเองทั้งนั้น ถ้าเปียโนเป็นของเอด้า เอด้าก็เป็นเหมือนวัตถุของสามีที่เธอไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ความรักเป็นของฟุ่มเฟือยของคู่แต่งงานในยุคนั้น อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็รักกันไปเอง คุ้นๆ อยู่นะประโยคนี้
แกรนด์เปียโนที่ยกใส่เรือลำเล็กมาถึงเกาะอย่างทุลักทุเลแล้ว แต่จะแบกข้ามป่าไปบ้านอีกมันเหมือนโคตรไม่มีประโยชน์กับอีผัวเลย จึงทิ้งค้างตากแดดตากฝนไว้ที่ชายหาดก่อน จนเอด้าต้องขอให้หัวหน้าคนงานพามาเล่นที่ชายหาดนี่เป็นครั้งคราว เสียงเปียโนคือเสียงของเอด้าที่เธอเอาไว้พูดคุยกับหัวใจ ความคิด ความรู้สึกของตัวเอง และเป็นเสียงที่ไพเราะจากสวรรค์ การเล่นเปียโนมันไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่มันคือการนมัสการพระเจ้าที่จำเป็นสำหรับเอด้า มันยิ่งใหญ่กว่าการมีชีวิตด้วยซ้ำ
ความงดงามของเอด้าขณะเล่นเปียโนริมทะเลมันไปประทับใจหนุ่มหัวหน้าคนงานคนนั้น ขณะที่สามีตามกฏหมายกลับไม่เคยเห็นความสวยงามของเอด้ากับเปียโนเลย เขารู้สึกว่าการเล่นดนตรีเป็นสิ่งไร้สาระ หนุ่มหัวหน้าคนงานเลยเอ่ยปากขอให้เอาเปียโนไปไว้ที่กระท่อมของเขาได้ไหม และขอให้เอด้ามาสอนเล่นเพลงง่ายๆ แต่พอเอาจริง เขากลับอ้อนวอนให้เธอเล่นเพลงอะไรก็ได้ที่หัวใจของเอด้าอยากส่งเสียง เขานั่งมองเสียงที่ออกมาจากหัวใจของเธอ เขามองเห็นความสวยงามที่คนอื่นมองไม่เห็น มันทำให้เขาตกหลุมรัก
เราคิดว่า Free Speech เป็นสิ่งที่สำคัญมากเลยนะ มันคือความจริง มันคืออิสรภาพ มันคือความสวยงามของชีวิต เราทนดูประเทศของตัวเองปิดปาก ปิดใจผู้คนมานักต่อนัก มันทรมาน มันขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์ มันปีศาจชัดๆ มันโกหกว่าเป็นความมั่นคง แต่มันเป็นความอันตรายเมื่อมนุษย์ไม่ได้ส่งเสียงที่อยู่ในใจอย่างตรงไปตรงมา
ถ้าเราบังคับให้ใครรักเรา สิ่งที่เราจะได้รับกลับมา คือความเกลียดชัง
และถ้าเรามีโอกาสที่จะส่งเสียงในใจ แม้จะเพียงน้อยนิด ไม่ว่ามันจะผ่านเสียงเปียโน ศิลปะ งานเขียน หรือพรจากสวรรค์อะไรก็ตามที่พระเจ้ามอบให้เรามา จงส่งเสียงนั้นออกมาให้เต็มที่อย่างสุด บ่อยครั้งที่สุด จริงใจที่สุด นั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกเราสวยงาม และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เพราะเสียงคือชีวิต ไม่มีเสียงก็ไม่มีชีวิตเช่นกัน
วันนี้เสียงเปียโนของเอด้า สั่นหัวใจของผมรุนแรงเหลือเกินแล้ว