THE HAND OF GOD (Italy,2021)
a.k.a. È stata la mano di Dio
เรื่องที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ นี่มันเอามาเล่าเป็นเรื่องที่คนอื่นจะเข้าใจและตกหลุมรักได้เหรอ?
ได้สิ นี่ไงหนังที่ผู้กำกับคนเขียนบท เปาโล ซอเรนติโน เอาชีวิตตัวเองตอนเป็นเด็กม.6 มาทำเป็นหนังที่กวาดรางวัลเพียบ หนังน่ารัก ดูแล้วสดชื่นมากกกกก เหมือนได้สูดเอาความฝันสดใหม่เข้าไปในหัวใจจนชุ่มเลยล่ะ
หนังเล่าเรื่องของ ฟาบิเอ็ตโต หนุ่มน้อยใสๆ ม.6 ฮอร์โมส์ตึงบ้าบอล อยู่ในครอบครัวอบอุ่นขนาดยักษ์ ลุงป้าน้าอามากมายซึ่งล้วนแต่ประหลาดๆ กันทุกคน เขาใช้ชีวิตอยู่กับผู้คนที่เหมือนตัวละครอีบ้าอีบอมีสีสันราวกับอยู่ในหนังของ Felini
หนังเปิดตัวและปิดตัวด้วยฉากของเมืองเนเปิ้ลส์ยุค 80s ช่วงนั้นนี่ มาราโดนา เป็นดั่งเทพเจ้า และเขามาเก็บตัวซ้อมบอลที่เมืองนี้ด้วย ฟาบิเอ็ตโต ก็คลั่งบอลเหมือนคนทั้งครอบครัวนั่นแหละ
หนังไม่ได้มีแต่ด้านใสๆ ครอบครัวสุขสันต์เท่านั้น ฟาบิเอ็ตโต ต้องผ่านเรื่องยากๆ ของครอบครัวเต็มไปหมด ผู้กำกับขุดคนในโลกจริงๆ ของเขามาเล่าให้เราเห็น ไม่ว่าน้าสาวสุดเซ็กซี่ของครอบครัวซึ่งเปิดฉากมาก็โดนผัวซ้อมที่กลับบ้านช้า เพราะแวะไปขอพรให้มีลูกกับนักบวชน้อย, คุณยายผู้ซึ่งโดนแหย่ให้ด่าอะไรหมาๆ หยาบๆ ให้ลูกหลานได้เฮ, น้าเขยโดนตำรวจจับในจังหวะที่ดูถ่ายทอดสดมาราโดนายิงประตูลูกที่สวยที่สุดในตำนาน, เพื่อนใหม่ผู้ที่เป็นนักค้าของเถื่อนซึ่งลากเขาไปเที่ยวกันจนเช้า และอีกตัวละครที่ผมชอบมากคือ พี่สาวผู้ซึ่งตลอดเรื่องเราจะได้ยินแค่เสียงของเธอออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น คือเราจะไม่เห็นหน้าเลย แม้แต่ในงานศพของครอบครัว บ้าบอไหมล่ะ
“นายจะไปโรมทำกร๊วกอะไร ฟาบิโอ้”
“ผมชื่อฟาบิเอ็ตโตโว้ย”
“มานี่ มองสิ ที่เนเปิ้ลส์นี่นายไม่เห็นเหรอ เรื่องเล่าเต็มไปหมด นายมีเรื่องจะเล่าไหม”
“ผมไม่กล้า”
“ปัดโธ่โว้ย นายต้องกล้าสิวะ ไม่ว่านายจะไปที่ไหน มันจะกลับมาหาตัวนายเองเสมอ”
บทสนทนาระหว่างผู้กำกับรุ่นใหญ่กับเด็กหนุ่มผู้ซึ่งกำลังสงสัยในความฝันของตัวเองมันช่างเลอค่า มันทำให้ผมกลับมามองเรื่องเล่ามากมายที่เกิดขึ้นรอบตัวผม เรื่องที่ผมคิดว่าแม่งโคตรน่าเบื่อเลย แต่หนังทำให้ผมเริ่มเห็นว่ามันเป็นของมีค่า ทั้งความสุข ความทุกข์ที่ผ่านมาสู่ชีวิตของเรา มันคือเรื่องราวมหัศจรรย์เสมอ
“นายมีความอิสระไหม หนุ่มน้อย”
“เรื่องนั้นเอาไว้ตอบทีหลังเหอะ”
“55 งั้นนายมีความกล้าไหม”
“เกี่ยวไร”
“ถ้านายไม่มีความกล้า มันก็ไม่ต่างกับแค่มีเซ็กส์นั่นแหละ”
“ฟังนะ กาปัวโน บ้านผมพังแล้ว ผมเกลียดชีวิต ชีวิตธรรมดาแม่งห่วย ผมอยากมีชีวิตอยู่ในจินตนาการ ผมไม่เอาความจริงแล้ว ความจริงมันห่วยแตก ผมเลยอยากทำหนัง”
“แค่นั้นมันไม่พอหรอกหนุ่มน้อย ใครๆ ก็อยากทำหนังทั้งนั้น นายใจถึงป่าวล่ะ”
“ไม่น่านะ”
“งั้นนายต้องมีความเจ็บปวด”
“55 สบายอันนี้ผมมีเพียบ”
“ไม่ๆ นายไม่ได้เจ็บปวด นายกำลังมีความหวัง และความหวังเป็นกับดักของความฝัน”
“แต่ผมไม่มีใครแล้ว”
“ใครๆ ก็โดดเดี่ยวด้วยกันทั้งนั้นแหละโว้ย แล้วนายมีเรื่องอะไรแปลกใหม่มาเล่าไหมล่ะ”
“ไม่รู้สิ”
“ก็ถ้านายไม่รู้ ฉันจะไปรู้ได้ยังไง”
นี่คือฉากผู้กำกับรุ่นใหญ่สอนเด็กหนุ่มวอนนาบี ที่ตรึงผมอยู่กับที่ มันตอกเข้าไปในหัวใจผมเลยล่ะ ผมชอบวิธีการเล่าอันนึงในนหนังมาก จะจำไว้ก๊อบคือ ตลอดทั้งเรื่องเนี่ย ฟาบิเอ็ตโตจะฟังวอร์คแมนปิดหูไว้ตลอดแต่เราคนดูจะไม่เคยได้ยินเพลงที่เขาฟังเลย จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเราถึงจะได้ยินมัน และนั่นมันทำให้ฉากและบทสรุปของหนังระเบิดพลังมากๆๆๆๆๆ
ความรู้สึกมันเหมือนหนังพาผมไปนอนจิบมาการิต้าริมทะเลเมืองเนเปิ้ลส์ ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง พึ่บ พึ่บ พึ่บ แล้วสายลมก็ตะโกนใส่หูผมว่า อีโจ้ เรื่องเล่าน่ะมันมีอยู่รอบตัวมึงเป็นล้านๆ เรื่องเลย แหกตาดูซะ ถ้าอยากเป็นนักเล่าเรื่องมึงไม่ต้องไปเรียน Film School ที่โรมหรอกโว้ย!
ป.ล. น้องฟิลิปโป สกอตตี นี่พลังคิ้วๆ ออร่าแรง ราวกับคลานตามธิโมที ชาลาเมต์ วิ่งเตะก้นตามกันมาติดๆ เลยทีเดียว