Taste of Cherry (Iran,1997)
a.k.a.Ta’m e guilass
เอาล่ะหนังที่ดูช่วงต้นโคตรน่าเบื่อเลยแต่ตอนจบกลับมีบทเรียน และประสบการณ์ที่ดีเฉย มันเป็นเรื่องของความตาย ซึ่งสำหรับผมความตายกับชีวิตเป็นสิ่งเดียวกัน
เราเลือกที่จะตายได้ไหม หมายถึงตายวิธีไหน คือเราอ่ะ ยังไงก็มีความตายรออยู่ที่ปลายทางของเรื่องราวชีวิตของตัวเองอยู่แล้ว เหมือนสปอยล์ตอนจบไว้ก่อนได้เลย แต่เราเลือกวิธีตายไม่ได้ง่ายๆ
คุณบาดี้ ในเรื่องพยายามแล้ว หลังจากเลือกแล้วด้วยซ้ำว่าจะตายยังไง เขาแพลนว่าจะกินยาตาย แล้วเดินลงไปนอนในหลุมที่ขุดเตรียมไว้ และก็หาใครสักคนมาขุดดินกลบร่างของเขา มันยากตรงอันหลังนี่แหละ ใครล่ะจะรับทำงานอะไรแบบนี้
ยังไงภาพจำของ Taste of Cherry ก็ยังเป็นการขับรถวนไปวนมาบนภูเขาที่มีแต่ดินแดงและฝุ่นคลุ้ง หนังถ่ายให้เราเห็นภาพฝุ่นแบบรู้สึกได้ถึงความแห้งผากในลำคอกันเลย เหมือนสูดฝุ่นอยู่ตลอดเรื่อง มันทั้งอึดอัด และน่าเบื่อ ชีวิตของคุณบาดี้ และก็ชีวิตเราๆ เนี่ยบางช่วงมันก็รู้สึกแบบนี้แหละ
ชีวิตมันยากนะ ยากจนบางทีเราก็คิดอยากจะทิ้งชีวิตไปให้พ้นๆ มันเหมือนแก้ปัญหาวนไปวนมาอยู่บนเส้นทางที่ไร้ความหวัง ไร้ชีวิต แบบไม่เอาแล้ว พอแล้วเหอะ ทนไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอยู่แบบนี้อีกแล้ว
แต่บทเรียนจากคน 3 คนที่ยอมขึ้นรถไปกับคุณบาดี้ ก็ชวนตั้งคำถามกับความตายและชีวิตนะ
คนแรกเป็นเด็กหนุ่มพลทหาร อายุยังน้อยอยู่เลย บ้านจนมากจนต้องออกจากโรงเรียน จะไปพึ่งพาญาติพี่น้องคนไหนก็ทำไม่ได้ ต้องไปเป็นทหารเพื่อแลกกับเงินเล็กน้อย แต่พอรู้ว่าคุณบาดี้ขอให้ช่วยฝังศพเขาให้หน่อย เด็กหนุ่มเลือกที่จะวิ่งหนีไปดื้อๆ เรื่องนี้จำได้เลยว่า ตอนที่เราเองยังเป็นเด็กหนุ่มซึ่งเต็มไปด้วยความฝัน ชีวิตมันสวยงามมาก ความตายเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน มีปัญหาก็แค่โวยวายด่าทอชีวิต งอแงก็แค่นั้น
คนที่สองเป็นหนุ่มวัยทำงาน เป็นชาวต่างชาติที่มาเยี่ยมเพื่อนซึ่งเป็นยาม เขาคิดว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้ชีวิตเราทุกคน การฆ่าตัวตายเป็นการฆ่าชีวิตอย่างหนึ่ง มันคือความบาป และเขาขอไม่มีส่วนในการทำบาปนี้กับใครด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนลงมือฆ่า การฝันศพคนที่ตายไปแล้วน่าจะเป็นการช่วยเหลือด้วยซ้ำ แต่การรับปากช่วย มันคือการสนับสนุนให้ใครอีกคนละทิ้งชีวิตหรือเปล่า
คนสุดท้ายเป็นชายชรา ผู้เคยผ่านชีวิตมาเยอะรวมถึงการฆ่าตัวตายด้วย ชายชราเล่าว่า วันที่เขาออกจากบ้านไปเพื่อที่จะฆ่าตัวตายใต้ต้นมัลเบอรี่ แล้วผลมันหล่นลงมา เขาหยิบกินสองสามลูกแล้วรู้สึกว่ามันอร่อยมาก จนเขาเปลี่ยนใจยังไม่ฆ่าตัวตายวันนี้ก็ได้ เขาเก็บลูกมัลเบอรี่นี้กลับบ้านไปฝากภรรยา ซึ่งพอชิมก็บอกว่าอร่อย
ชายชราชวนคุณบาดี้ลองคิดดูนะว่า ไม่อยากที่จะเห็นพระอาทิตย์สวยๆ ลอยขึ้นฟ้าตอนเช้าแล้วเหรอ หรือตอนเย็นพระอาทิตย์ตกที่มีสีส้มสีเหลืองทองสวยงาม หรือคำ่คืนมองไปที่พระจันทร์บนฟ้า ไม่อยากเห็นดวงดาวพวกนั้นแล้วหรือไง
และที่สำคัญไม่อยากรับรสชาติหอมหวานของผลเชอรี่อีกสักครั้งเหรอ ถ้าลองเอากลับไปคิดดูดีๆ ถึงสิ่งดีๆ ที่ยังมีอยู่ในโลกใบนี้ สิ่งเรียบง่ายที่สวยงามทั้งหลาย ถ้าคุณบาดี้ไม่อยากรับรู้ สัมผัสถึงพวกมันอีกครั้ง เขายินดีจะช่วยเป็นคนกลบดินไปที่ร่างปราศจากวิญญาณให้ตามที่ต้องการก็ได้
ตอนดูหนังผมเบลอจนไม่แน่ใจว่า ชายชราถามคำถามเหล่านี้กับใคร กับตัวละครคุณบาดี้ หรือกับผม ผมเองยังจำได้ถึงหลายครั้งหลายช่วงของชีวิตที่หนักหนาจนอยากฆ่าตัวตายให้จบๆ ไป ดีนะที่ทำไม่สำเร็จ เพราะชีวิตที่ผ่านมาหลังจากนั้นก็ยืนยันว่า มันมีสิ่งดีๆ รอเราอยู่จริงๆ ถ้าวันนั้นตาย วันนี้คงพลาด
ผมคิดว่าหนังได้มอบพรจากสวรรค์ให้ผมได้คิดถึง ถ้าวันใดวันหนึ่งผมท้อแท้ รู้สึกสิ้นหนทาง วนจมอยู่ในปัญหาจนมองไม่เห็นทางออก ผมจะลองคิดถึงรสชาติของผลเชอรี่เปรี้ยวอมหวานอีกครั้ง มันคือรสชาติของชีวิตที่อร่อยและงดงามมากเหลือเกิน
และการได้ขอบคุณถึงสิ่งเล็กน้อยเรียบง่ายเหล่านี้ อาจจะทำให้ผมเปลี่ยนใจ
ป.ล.ดีใจที่ประสบการณ์ขมขื่นของชีวิต ทำให้วันนี้กลับมาดู Taste of Cherry สนุกมาก และเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่ดูครั้งแรกปี 1997 มันโคตรไม่สนุกเลย