Life is Beautiful (Italy,1997)
a.k.a. La vita è bella
55 เพิ่งจำได้ว่าเคยบอกตัวเองว่า โจ้ อย่าดูหนังเรื่องนี้อีก เป็นไงล่ะ นี่ร้องไห้เป็นหมาเลย
โอย พระเจ้าครับ ไม่ไหวอ่ะ ทำไมดูรอบนี้มันเศร้าได้ขนาดนี้นะครับ อาจจะเพราะชีวิตเติบโตขึ้นกว่าตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ เมื่อ 24 ปีก่อน มันรู้แล้วไงว่า ความเจ็บปวด ความโหดร้าย ความต่ำทรามของจิตใจคน มันมีอยู่จริง
เรื่องราวอันงดงามของชีวิต ในท่ามกลางความืดหม่นที่สุดของสงคราม ชายหนุ่มที่ชื่อว่า กุยโด้ เขาเป็นคนตลกร่าเริง แก้ปัญหาได้สารพัดด้วยเสียงหัวเราะและพลังบวกขั้นสุด กุยโด้ไปตกหลุมรักคุณหนูไฮโซคนหนึ่ง และเขาก็ได้แต่งงานกัน เปิดร้านหนังสือเล็กๆ และมีลูกชายวัย 5 ขวบด้วยกัน ตอนที่กองทัพเยอรมันบุกจับชาวยิวไปขัง ทรมาน รอวันฆ่าทิ้งในค่ายกักกัน
โอย คนหนอคน ทำไมต้องโหดร้ายต่อกันขนาดนี้ แต่มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ กับคนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ กี่คนที่ไม่รอด กี่คนที่ต้องสูญเสียคนที่เขารัก โอย มันเป็นพลังความเศร้าที่กระแทกกระทั้น หลังจากที่ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ
กุยโด้เองก็ถูกจับตัวไปค่ายกักกันพร้อมกับลูกชาย และลุงของเขา สิ่งที่พ่ออย่างกุยโด้ต้องการคือ ปกป้องความสดใสของเด็กชายไว้ให้มากที่สุด เขาจึงเล่าเรื่องราวในค่ายเสียใหม่ว่าเป็นเกม มีกฎต่างๆ ต้องปฏิบัติ ถ้าลูกทำคะแนนได้ครบพันเมื่อไหร่ จะชนะได้รถถังเป็นรางวัลที่หนึ่ง เด็กชายวัย 5 ขวบตื่นเต้นและสนุกขึ้นมาก
แต่ผู้ใหญ่ทุกคนที่ดู ก็รู้ว่ามันโหดเหี้ยมขนาดไหน การถูกเรียกไปฆ่าในห้องรมแก๊ซรายวัน การต้องอดอาหาร การต้องทำงานหนักเกินกำลัง มีคนตายในค่ายทุกวัน แต่คุณพ่อกุยโด้ก็ต้องปกป้องไม่เพียงแต่ชีวิตลูกชาย แต่ยังต้องป้องกันความรู้สึกทุกข์หนัก ความโหดเหี้ยมนานับประการที่ไม่ควรมีเด็กคนไหนต้องพบเจอทั้งนั้น
ดูหนังแล้วตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกให้ได้ ไม่อยากให้โลกต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว ขอใช้พลังทั้งหมดที่มีทุ่มเทให้กับคำว่าสันติสุข
มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมในการดูหนังวันนี้ที่ต่างออกไปจากเมื่อหลายปีก่อน มันคือความรู้สึกที่เคยปลอดภัยมันไม่มีแล้ว วันนี้โลกยุ่งเหยิงมาก ง่ายเหลือเกินที่เราจะถลำเข้าสู่ภาวะสงคราม ภาพทหารตำรวจที่เดินถือปืนยิงประชาชนมันอยู่ในทีวีให้เราเห็นบ่อยเหลือเกิน ความโกรธแค้นที่ผู้คนโยนใส่กันมันเป็นจริงตรงหน้าซะยิ่งกว่าครั้งไหน ความชั่วร้ายเริ่มขยับตัวแล้ว เราอยู่ในสภาวะสงครามแล้ว จงรู้ตัวไว้
หนังเตือนให้ผมจำได้ว่า สงครามไม่เพียงแต่พรากชีวิตอันสวยงามเท่านั้น แต่มันยังพรากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเราทุกคนไปด้วย ไม่ว่าคุณจะเลือกอยู่ฝ่ายไหน และเด็กๆ ทุกคน ลูกหลานของเราเขาควรจะเติบโตขึ้นมาในโลกที่ดีกว่าที่เราเป็นอยู่นี่ อยากมีชีวิตอยู่เพื่อรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
วันนี้ผมก้มหน้าอธิษฐานหนักๆ อีกครั้ง