Fireflies (Mexico,2018)
a.k.a. Luciérnagas
หนังพูดเรื่อง No-where ที่แปลว่าที่ไหนไม่รู้ กับ Now-here ที่แปลว่าที่นี่และเดี๋ยวนี้ ซึ่งมันอยู่ที่เราจะเลือกมอง
“มึงมาจากที่ไหนวะ
“กรุงเตหะราน”
“ที่ไหนวะ”
“อิหร่าน”
“อ้อ อิรัก”
“ไม่ใช่ อิรัก…อิหร่าน”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
รามีน ลี้ภัยหนีออกจากอิหร่าน ประเทศบ้านเกิดเพราะเขาเป็นเกย์ ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้ไปตุรกี แต่สุดท้ายเรือพามาลงเอยที่เมืองอะไรไม่รู้ที่เม็กซิโกเฉย หนังเริ่มตอนที่เขา มาอยู่ที่เมืองท่าต่างจังหวัดนี้แล้ว เมืองที่เขาเรียกมันว่า Nowhere
ดูเหมือนตอนอยู่อิหร่าน รามีน น่าจะมีการศึกษา เพราะเขาชอบอ่านหนังสือ ฟังเพลง มีแฟนหนุ่มหล่อผู้ซึ่งตอนนี้ติดต่อกันได้แต่ในแชทออนไลน์ทางไกล คุยกันทีก็ทะเลาะกันที เพราะความอยู่คนละโลกพูดกันไม่รู้เรื่อง ชีวิตโคตรโดดเดี่ยว ดีหน่อยที่ลูกสาวเจ้าของบ้านโรงแรมโทรมๆ ที่เขาเช่าห้องอยู่ดูใจดีกับเขาอยู่บ้าง
การเป็นคนหนีเข้าเมือง เป็นคนต่างด้าวมันไม่มีทางเลือกมากนัก เป็นได้แค่ลูกจ้างรายวันขายแรงกับเพื่อนคนงานก่อสร้าง ผู้ซึ่งอยากจะหนีไปจากที่นี่ เมืองห่าไรไม่รู้ เพื่อนพูดถึงการไปจากที่นี่ตลอดเวลา
“รามีน มึงอยากไปไหนวะ”
“ไม่รู้สิ”
“ถ้ามึงไม่รู้ว่ามึงอยากไปไหน มึงจะติดอยู่ที่นี่ตลอดกาล”
หนังตั้งคำถามนี้กับผมด้วย จนผมสงสัยว่า “ที่นี่” นี่มันยังไงนะ และหนังก็เฉลยด้วยการให้เปรียบเทียบสองชีวิตระหว่าง รามีน คนต่างด้าวที่หนีมาอยู่ที่นี่ ผู้ซึ่งติดอยู่กับการโหยหาอดีต กับเพื่อนคนท้องถิ่นเม็กซิกันผู้ซึ่งต้องการหนีไปจากที่นี่ และมีฝันติดอยู่กับอนาคต บางที Nowhere จะเป็น No where หรือ Now here มันก็อยู่ที่มุมมองจริงๆ
ฉากที่รามีน เหนื่อยเลิกงานตอนดึก แล้วเขาเปิดหน้าต่างห้องโทรมๆ ยืนมองนิ่งๆ ผ่านลมหนาวออกไปเห็นท่าเรือ ฉากนี้ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ต้องอยู่คนเดียวที่อเมริกามากๆ ลมเย็นๆ ไฟส้มๆ ของกลางคืนเป็นอะไรที่ผมคุ้นเคยสุดๆ มันคือความเหงาของคนที่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าเรามาทำอะไรที่นี่
หนังสอนผมเรื่อง small pleasure เยอะมาก ผ่านลูกสาวเจ้าของโรงแรมที่รามีนพักอยู่ การมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ มันสำคัญนะ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นรำกับเพลงทางวิทยุ การหัวเราะกับคนแปลกหน้า การทัดดอกไม้เล็กๆ ที่ใบหู หรือแม้แต่การกระดกเตกิล่ารสขมบาดคอในวันที่ห่วยแตกนัก
จงอยู่กับ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ Here and Now แล้วมันจะทำให้เราพบความสุข หนังทำให้ผมต้องหันกลับมาดู Nowhere ของผมใหม่อีกครั้ง