Feast (Netherlands,2021)
โอย ตื่นเต้น นี่เป็นหนังในรอบแปดร้อยปีที่ทำให้เราตาสว่างวาบเลยอ่ะ หนังแม่งทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยว่ะ เรื่องคร่าวๆ คือเมื่อปี 2007 ที่เนเธอร์แลนด์มีคดีคน 3 คนวางแผนฉีดเลือดตัวเองซึ่งติดเชื้อ HIV ให้กับคนที่มีเซ็กส์ด้วยในปาร์ตี้เซ็กส์หมู่ ซึ่งนักข่าวก็รุมด่าเป็นเสียงเดียวกันว่า ไอ้พวกปีศาจ แต่ผู้กำกับคิดว่ามันมีอะไรแปลกๆ และน่าสนใจอยู่ในเรื่องราวนี้
คำถามที่ผู้กำกับเขาถาม และไม่มีใครถามกันมาก่อนคือ คนที่ฉีดเลือดบวกให้คนอื่น เขาทำไปทำไมนะ? และอีกประเด็นคือคนที่มาเซ็กส์หมู่กันที่คอนโดนี้ก็รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยงติดเชื้อจากการมีไรกัน เพราะเขาบอกไปใน Ads ด้วย แต่ทำไมบางคนยังมาที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำไม ทำไม ทำไม?
เออ คำถามทำไม นี่แม่งทำงานว่ะ มันสามารถสร้างงานเจ๋งๆ ได้แบบนี้เลยเนอะ ต้องจำไว้ หนังช่วยให้เราช้าในการเลเบลตัดสินคนอื่นได้ดีมากๆๆๆ เลยอ่ะ และที่เจ๋งคือมันใช้ตากล้องเปลืองมาก หนังเรื่องนี้ถ่ายด้วยตากล้อง DOP 7 คน โอแม่เจ้า ทำงานกันยังไงวะนั่น เพราะผู้กำกับบอกว่า เขาต้องการให้ได้มุมมองหลายๆ มุม
เดี๋ยวช้าก่อน ถ้าคิดว่านั่นบ้าแล้วนะ มันคืองี้ ผู้กำกับซึ่งทำหนังใหญ่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกด้วย เขาเอาบท Monologue 7 บทในหนังสือซิมโพเซียมของเพลโต้มาตีความ โดยเฉพาะเรื่องความรักกับความตาย เขาตั้งสมมุติฐานว่า จะเป็นไปได้ไหมที่คนร้ายทั้ง 3 คนจะทำสิ่งนี้เพราะความรัก ไม่ใช่เพราะความชั่ว โอ้โหมั้ยล่ะ งานนี้ได้งานที่แบบว่าเถียงกันหน้าดำหน้าแดงสุดฤทธิ์ เพราะคนส่วนใหญ่ก็กรีดร้องว่า ไอ้ 3 คนนี้มันเป็นปีศาจเห็นๆ จะไปเห็นใจ เข้าใจมันทำไม เออสิ
อ่ะ เรื่องเจ๋งของหนังต่อไป หนังเองก็แบ่งเป็น 7 ฉาก และเขาทำหนังเรื่องนี้เป็นแบบหนัง Essey Film เป็นหนังที่เหมือนเราอ่านบทความอ่ะครับ แต่คราวนี้มันเป็นบทความแบบ Visual คือดูได้ไม่ต้องอ่าน และในแต่ละบททั้ง 7 เขาใช้วิธีที่แตกต่างกันหมดเลย เช่น บางฉากเป็นการสัมภาษณ์คนจริง บางฉากเซ็ตให้เหมือนสัมภาษณ์แต่เล่นโดยนักแสดง บางฉากเหมือนงานแถลงข่าวโชว์ของกลางจากคดี บางฉากเป็นเหมือนดูละครเวที แล้วมีตำรวจนั่งวิเคราะห์คนร้ายจากกระจกอีกที โอ๊ย เล่าไม่หมด คือผู้กำกับแม่งขุดเทคนิคเริ่ดๆ มาเพียบ แล้วถ้าใครสนุกนะ แต่ละฉากแม่งล้อไปกับความรักของเพลโต้ทั้งเจ็ดอีก บ้าบอไปแล้ว
สิ่งที่เราชอบมากๆๆๆ ก็คือความรู้สึกที่ได้สัมผัสว่า ความจริงมันทรงพลังไม่แพ้ดราม่า คืองี้ ส่วนใหญ่เราจะคิดว่าการต้องใส่ดราม่า หรือเมโลดราม่า Conflict เน่าๆ เยอะๆ เรื่องถึงสนุกใช่ป่ะ แต่ Pure Fact แม่งทรงพลังและสนุกมากในหนังเรื่องนี้ เช่น ฉากนี้เลย ฉากเริ่มหนังยาว 12 นาที ที่เรา โจ้อ่ะ คิดว่าเป็นฉากเปิดหนังที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลย
ฉากเปิดหนังเรื่องนี้ เป็นกล้องที่ตั้งขาถ่ายนิ่งๆ Rec. เทปยาวๆไป เริ่มต้นที่ตำรวจหญิงค่อยๆ หยิบของกลางในคดีสะเทือนขวัญออกมากจากกล่องทีละชิ้นๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งมีตั้งแต่ กระเป๋า เสื้อผ้า ป้อปเปอร์ เควาย ถุงยาง และซีดีของ George Michael โหไม่น่าเชื่อว่าเราสนุกกับการทายตัวละครมากๆๆๆ ว่าเขาเป็นคนยังไงนะจากสิ่งของพวกนี้ และเชื่อไหมสิ่งที่ผู้กำกับตบหน้าเราอีกรอบคือ เราแม่งเป็นคนเลเบลคนจากสิ่งของว่ะ เช่น พอเราเห็นถุงยาง หรือซีดี George Michael เราก็คิดไปเองก่อนเลยว่า อีนี่เกย์แน่ๆ
ซึ่งการไม่ Quick to Judge อย่าตัดสินคนเร็วไป นี่แหละคือประเด็นที่ผู้กำกับอยากบอกกับเรา เรามีแนวโน้มจะตัดสินคนอื่นจากประสบการณ์เก่าๆ ของเราเว้ย แต่มันเล็กและแคบเกินกว่าจะอธิบายปรากฏการณ์ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ได้ เราอ่อนด้อยเกินไปที่จะฟันธง ดังนั้นช้าลงหน่อยนะพี่โจ้นะ
อีกฉากที่ชอบมากๆๆๆ และไม่พูดถึงไม่ได้คือฉากสัมภาษณ์คนจริง เธอเป็นนักชีววิทยาพันธุศาสตร์ที่ศึกษาไวรัสในพืช คือเราพวกนุดอ่ะมักคิดว่าไวรัสต่างๆ ซึ่งถ้าตามหนังเรื่องนี้ เราก็คิดถึงเอดส์ใช่ป่ะ และเราก็แอบคิดถึงโควิดด้วย เราชอบคิดว่าไวรัสคือตัวร้ายเสมอใช่ป่ะ แต่นางนักชีวะคนนี้นางบอกว่า ลองคิดดูในมุมของไวรัสกับพืชดูดิ พวกมันคิดไง ไวรัสกับพืชมันกำลังหาทางอยู่ร่วมกัน ไม่มีใครเป็นผู้ร้ายในสตอรี่นี้ อืม น่าคิดนะ
แค่นี้คิดว่าจี๊ดแล้วใช่ป่ะ ฉากสัมฯ นางชีวะเนี่ย นางเป็นนักวิทยาศาสตร์ตัวจริง แต่คนสัมภาษณ์ซึ่งเราไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียง เขาคือเสียงของผู้ต้องหาคดีฉีดเลือดบวกตัวจริงเสียงจริง หูย บอกเลยว่าพอรู้เนี่ยขนลุกมาก
ยังมีดีเทลน่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น แต่ละฉากตัวละครชื่อเดิมคนเดิม แต่เปลี่ยนนักแสดงเว้ย เอาซียะ เอาให้บ้าไปเลย ยิ่งพวกชอบตัดสินคนด่วนๆ ไวๆ อย่างเราเนี่ย หนังมันหยุดให้เราตั้งคำถามได้จริงๆ โดยเฉพาะคำถามสำคัญ เขาทำไปทำไมนะ? มันมีอะไรที่ลึกและมากไปกว่าความเกลียดไหม? และถ้าเขาทำสิ่งนี้เพราะความรักล่ะ? และความรักคืออะไรกันแน่?
หนังทำงานกับผมอย่างนี้อ่ะครับ อ้อ ดูได้ใน MUBI ที่เดียวน้า