Eraserhead (US,1977)

Joe Readery
1 min readJul 12, 2023

--

หูย ต้องใช้เวลานานมากเลยอ่ะ กว่าจะดูเรื่องนี้สนุกสะใจ ซึ่งไม่แน่ใจเลยว่าดีไหมที่ดูสนุก คงดีแหละ เพราะการจะดูเรื่องนี้รู้เรื่องมันต้องผ่านความดาร์คไซต์ มืดมนของชีวิตกันมาพอสมควร มันถึงจะขอบคุณเดวิด ลินช์ว่า ขอบคุณนะที่บอกให้เรารู้ว่า โลกใบนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นเสมอไปหรอก นั่นสิ ดีไหมนะที่ดูแล้วชอบอ่ะ

เรื่องของ เฮนรี่ หนุ่มโรงงานสิ่งพิมพ์ อยู่ในอพาร์ตเมนต์แคบๆ สกปรก หน้าต่างห้องที่มองออกไปเห็นกำแพงอิฐ ทั้งหมดนี่อยู่ในหนังขาวดำ สไตล์ Surrealism ที่เซอร์แดกสุดๆ เหมือนอยู่ในฝันร้ายตลอดเรื่องทั้งของเฮนรี่ และของเราคนดู

จริงๆ เขาบอกตั้งแต่ฉากแรกเลยที่ เฮนรี่เหมือนลอยๆ อยู่ในอวกาศ แล้วก็มีสัตว์ประหลาดเลื้อยออกมาจากปาก เหมือนความฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด และฉากต่อมา เฮนรี่ เหมือนเดินกลับจากทำงานโรงงาน กำลังเดินตรงไปยังกำแพงที่ทางเดินแคบๆ มืดๆ แล้วพอเราดูหนังเข้าใจแล้ว ก็กรี๊สลั่น เฮ้ย แม่งโคตรเจ๋ง

มันคืองี้ หนังเรื่องแรกของเดวิด ลินช์เนี่ยมันคือหนังแอนตี้โลกสวยของอเมริกันยุค 50s ชัดๆ คือช่วงนั้นอเมริกาทำซีรีส์ทีวีโลกสวย บ้านสวย ครอบครัวสุขสันต์ พ่อทำงานขันแข็ง แม่ยิ้มทั้งวันเป็นแม่บ้าน ลูกๆ เป็นเด็กน้อยแสนดี มีหมา มีรถเก๋ๆ เรื่องพวกนี้มันเปลือกทั้งนั้น จริงๆ พอเข้าใจเจตนาผู้กำกับ ก็เข้าใจเลยว่า เขาคงคิดแหละว่า อะไรแหวะกว่ากัน ระหว่างโลกสวยเปลือกๆ โกหกๆ กับโลกดาร์คๆ หม่นๆ แต่แม่งโคตรสะท้อนชีวิตจริงๆ ของคนเลยนะ

การดูหนังเรื่องนี้มันคือเป็นเครื่องมือปลอบโยนหัวใจได้ดีมากเลย สำหรับคนที่ไม่ได้มีอะไรสมบูรณ์พร้อมเหมือนซิตคอมยี้ๆ พวกนั้น และใครล่ะที่ชีวิตจริงแม่งจะสมบูรณ์ไปหมด ดังนั้นเรื่องราวต่างๆ ในนี้ถ้าจะดูให้สนุกคือลองเอาภาพไปทาบกับภาพหนังครอบครัวดีงามพวกนั้นดิ มันทาบได้แทบจะเฟรมต่อเฟรมเลย

เช่น เฮนรี่ อยู่ในห้องสกปรก แคบ หยากไย่เต็มไปหมด แม้ว่าพอเขาจะกลับบ้านเปิดแผ่นเสียงเพลงคลาสสิคเหมือนคุณพ่อแสนดีทั้งหลาย แต่เสียงเพลงก็ถูกกลบไปหมดด้วยเสียงแมลงที่ยังมองไม่เห็นตัว อา เสียงนี่แหละมีประเด็น Sound Design ของหนังเรื่องนี้ ย้ำว่าเป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับนะ เสียงมันเทพมากถึงมากที่สุด ถ้าใครได้ดู อยากให้ลองฟังเสียงให้ดี เช่นเสียงเด็กร้องกวนประสาท เสียงบ้านที่อยู่ติดทางรถไฟ เสียงฟ้าร้อง เสียงโหยหวนของเครื่องจักรโรงงาน มันยังกะขน Library เสียงที่เราเกลียดมารวมอยู่ในหนังเรื่องเดียว แต่เสียงแสบหูพวกนี้มันคือตัวเล่าเรื่องที่บางภาพเราดูไม่รู้เรื่อง ให้ได้รู้ว่าชีวิตคนมันบัดซบขนาดไหน

ส่วนชีวิตของ เฮนรี่เองก็ย้อนแย้ง ตีแสกหน้าคุณผู้ชายโลกสวยพวกนั้นสุดๆ เฮนรี่เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเลย ไม่มีความสามารถอะไรทั้งนั้น ไม่มีความฝันสวยๆ ไม่มีเป้าหมายชีวิต เพราะความกระจอกของเขา ปฏิเสธคนยังไม่เป็น จนถูกยัดเยียดให้เป็นพ่อของลูกคนอื่น จริงๆ แฟนสาวทิ้งเขาไปนานแล้ว และก็ไปท้องมา แต่กลับมาบอกว่าเฮนรี่คือพ่อเด็ก เขาก็ไม่รู้ทำไง คงต้องรับๆ ไปก่อน

ชอบฉากพ่อแม่ลูกเบบี๋ในห้องแคบมากถึงมากที่สุด มันคือทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับบ้านในซิตคอมเป๊ะๆ อีลูกหน้าตาเอเลี่ยน ที่คือ Symbolic สะท้อนจิตใจพ่อแม่สุด แถมยังแหกปากร้องจนอีแม่แทบบีบคอทิ้ง สุดท้ายทนไม่ไหวก็หนีไปทิ้งลูกไว้กับเฮนรี่ ที่ต้องรับเลี้ยงลูกคนอื่นเฉย

การดูหนังเรื่องนี้มันเหมือนอ่านนิยายของ คาฟคา หรือโกโกล มากๆๆๆ มันหดหู่ มันผิดเพี้ยน อึดอัด แต่มันก็จริงที่สุดเหมือนกัน ชีวิตบางครั้งมันก็ห่วยแตกอย่างนี้แหละ บางครั้งเราก็เป็นเฮนรี่ ที่รับมือกับชีวิตห่วยๆ ไม่ไหวเหมือนกันใช่ป่ะ ดูไปก็อาจจะกรีดร้องว่า ใครก็ได้พาฉันออกไปจากฝันร้ายนี้ที

แต่ฝันร้ายมันก็มีหน้าที่เยียวหาหัวใจของเราด้วยไม่ใช่หรือ คิดดูนะ ถ้าเราไม่เจอฝันร้ายบ้าง ข้างในห้วใจของเรามันจะมืดหม่น บาดเจ็บขนาดไหน ขอบคุณเดวิด ลินช์ที่ทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ให้เราได้รู้ว่า โลกแม่งไม่ได้มีแต่โลกสวยพวกนั้น แต่มันยังมีด้านต่ำตม ห่วยแตก ติดกับดัก เหมือนอย่างชีวิตจริงๆ ที่เราเจอเลย

Ugly is the new beauty คืองี้เอง

--

--

Joe Readery
Joe Readery

No responses yet