American Fiction (US, 2023)
โอ๊ย แซ่บคั่ก
มั้งค์ เป็นนักเขียนงานวรรณกรรมผิวสี เป็นอาจารย์สอนเขียน Writing ด้วย แต่เขาเป็นคนจริงจังกับสังคมคนผิวดำ จนถึงขั้นใครๆ ก็คิดว่าเขาเครียดจนเกินไป มั้งค์โดนพักงานสอน สำนักพิมพ์ก็คิดว่านิยายใหม่มันซีเรียสเกินกว่าจะขายได้ มั้งค์โดนพักทุกงาน และเขากลับบ้าน
ที่บ้านซึ่งมี แม่ น้องสาว น้องชาย และก็แม่บ้าน กลับทำให้มั้งค์ กลายเป็นคนขี้โกรธขึ้นไปอีกรอบ ทุกบ้านก็มักเป็นแบบนี้ป่ะ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาถูกเชิญไปพูดที่งานหนังสือซึ่งผู้คนเลือกไปฟังอีกเวทีของนักเขียนหญิงผิวสีอีกคนมากกว่า มั้งค์มองว่าหนังสือของเธอโคตรหลอกแดกตลาดคนผิวขาวเลย คือเอาเรื่องดาร์คของคนดำมาหากินชัดๆ มั้งค์แม่งโคตรโกรธอะไรแบบนี้
คืนหนึ่งมั้งค์โกรธจนไม่รู้ทำไง เลยพิมพ์นิยายด่วนๆ แดกดันนักเขียนหญิงคนดังนั่นเล่นๆ เขาใส่ทุกอย่างที่เขาเกลียดลงไปในนิยายเล่มนี้ โดยเฉพาะเรื่องชีวิตดาร์คๆ ของคนดำ เช่นความเป็นแก๊งขายยา ติดคุก ยากจน เขาคิดว่ามันเป็นงานที่ห่วยแตกสิ้นดี แต่ทุกคนบนโลกธุรกิจหนังสือกลับไม่คิดอย่างนั้น หรือแม้แต่ฮอลลีวูด 555
เรื่องราวตลกเสียดสี เริ่มต้นที่แถวๆ นี้แหละ หนังว้าวมาก แดกพวกการตลาดซึ่งหากินกับคนผิวสี แดกทั้งคนขาวที่กำลังเห่อเข้าใจคนดำ มันเหมือนอยู่ๆ การเป็นคนดำก็เป็นสิ่งเท่ห์ๆ คูลๆ ที่เอามาหากินได้ เพียงเพราะสีเข้มของผิวหนังคน แบบโลกมันตีกลับด้านจากอดีต
สิ่งที่ผมชอบมากถึงมากที่สุด คือการเสียดสีวงการนิยายอเมริกาตามชื่อหนังนั่นแหละ และการมองโลกผ่านสายตาของมั้งค์ และนักเขียนคนอื่นในหนัง มันทำให้เราเข้าใจการอ่านหนังสือได้ลึกซึ้งขึ้นอ่ะ แบบว่า เวลาอ่านงานอะไร พยายามมองให้ลึกขึ้นอีกหน่อยนะโจ้ แบบเฮ้ย มรึงมองตื้นๆ แค่ที่เขาเล่าไม่ได้ ต้องมองให้เห็น Motivation หรือความจริงที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดให้เห็นด้วย ไม่งั้นนายจะกลายเป็นแค่เหยื่อการตลาดที่โดนเขาหลอก จงแยกให้ได้ระหว่างความจริงกับการโกหกเสมอ
โอ๊ย ไม่รู้จะบรรยายความรักหนังเรื่องนี้ที่พูดถึงหนังสือแบบทุกประโยคของบทสนทนา ทุกฉากต้องมีอะไรเกี่ยวกับนักเขียน ร้านหนังสือ เทศกาลหนังสือ รางวัลวรรณกรรม และสุดท้ายหนังสือซึ่งถูกฮอลลีวูดนำไปสร้างหนัง
ทั้งหมดนี่มันแดกดันได้แสบทรวงจนต้องกินยาลดกรดกันเลยทีเดียว